ในสังคมแห่งมนุษย์ทั้งหลาย หากให้เลือกระหว่าง ความรัก กับ ความโกรธ เกลียดชัง แน่นอนที่สุดแทบทั้งนั้นเขาก็จะเลือกความรัก แต่มีบุคคลอยู่กลุ่มหนึ่งเห็นโทษของความรัก และพยายามจะหนีไปให้ไกล บุคคลกลุ่มนั้น ผู้นั้นจะสามารถสลัดยางเหนียวเหล่านี้ได้หรือไม่ ติดตามต่อไป
          ความรักในโลกใบนี้มีอยู่หลายมิติ หลายทรรศนะด้วยกัน ด้วยความหลากหลายนี่เอง จึงไม่สามารถจะกล่าวอย่างละเอียดให้ครบถ้วนได้ บ้างก็กล่าวว่าทรรศนะแห่งความรักมี รักตัวกลัวตาย, รักใคร่ปรารถนา, รักเมตตาอารี, รักที่มีแต่ให้, มิติแห่งความรักของ สัตว์นรก, เปรต, อสุรกาย, สัตว์เดรัจฉาน, มนุษย์, เทวดา, พรหม, และพระอริยเจ้าตั้งแต่ระดับ พระโสดาบัน, พระสกิทาคามี, พระอนาคามี, จนถึงพระอรหันต์, มีบุคคลอยู่กลุ่มหนึ่งเห็นโทษของความรัก และพยายามจะหนีไปให้ไกลนั้นคืออย่างไร.. มาเถิด ร่วมเดินทางไปด้วยกัน(ทางใจ) กับ diary

ภาพสมัยแรกฯ ของการเดินทาง.

         วันและเวลาที่ผ่านพ้นไป จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จาก 1 ปี เป็น 2 ปี และเป็น 3 - 4 - 5 ปี และวันเวลาก็จะผ่านต่อไปไม่มีวันหยุด สัตว์โลกที่ขนานนามในหมู่กันเองบนโลกใบนี้ว่า ประเสริฐที่สุดกว่าสัตว์ทั้งปวงคือ "มนุษย์" และการกำเนิดเกิดขึ้นของมนุษย์ทุกฯชีวิต วันเวลาที่ผ่านไปย่อมมีการพัฒนาศักยภาพ ความสามารถ สติปัญญาให้สูงยิ่งฯขึ้นไป แต่..จะมีมนุษย์มากน้อยสักกี่คนที่พิจารณาอย่างแยบคายว่า วันและเวลาที่ผ่านไปนั้นได้กลืนกินชีวิตของเขาไปเรื่อยฯ ชีวิตที่จะอยู่บนโลกใบนี้นับวันแต่จะเหลือน้อยลงฯทุกขณะ และเขาสามารถพัฒนาจิตวิณญาณของตนเองให้เป็นสัมมาทิฏฐิ จนสามารถนำชีวิตของเขาทั้งหมดขึ้นสู้เส้นทางของการแสวงหา ความสูงสุดของมนุษย์ที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนาอย่างถาวร การปฏิบัติตนโดยการใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท เป็นคำสอนของท่านผู้รู้ แต่..ในยุคที่บุคคลทั่วไปต่างก็มีอัตตาตัวตนเช่นนี้ จะมีผู้ใดเข้าใจความหมายที่แท้จริง

           ยัง..ยังมีบุคคลอยู่กลุ่มหนึ่ง ที่มีปณิธานอันแรงกล้า ที่ถือเอาคำสอนของพระศาสดาเป็นที่ตั้ง และพยายามเดินตามรอยพระองค์ บุคคลกลุ่มนั้นคือผู้แสวงหาความหลุดพ้น หลุดพ้นจากเครื่องร้อยรัดอันเจ็บปวดทั้งปวง เพราะความรักใคร่ ความปรารถนาเป็นเหตุนั่นเอง ทำให้ผู้คนทั้งหลายได้ลิ้มรสกับความขมขื่นอันเจ็บปวด และแสวงหาความหลุดพ้นผันตัวเองมาเป็นนักบวช (แม้อุบาสก อุบาสิกา ที่เข้าร่วมงานปฏิบัติธรรม บวชเป็นชี พราหมณ์ ถึงจะเข้าร่วมเป็นครั้งคราวเพียงไม่กี่วัน ก็นับเป็นนักบวชเช่นกัน) นักบวชในที่จะกล่าวถึงนี้มีอยู่สามระดับด้วยกัน
           1 บวชทางใจเป็นครั้งคราว กายเป็นฆราวาส นักบวชระดับนี้จะเห็นอยู่ทั่วไปตามงานปฏิบัติธรรม ตามสำนักต่างฯ เขาบวชเป็นครั้งคราว มีกำหนดอยู่ไม่นาน อาจจะ 5วัน, 10วัน, หรือมากกว่านั้นแต่ไม่นาน หลังจากนั้นเขาก็ไปใช้ชีวิตเป็นฆราวาสเต็มรูปแบบ สู่ครอบครัว (สามี,ภรรยา,ลูกฯ,หลานฯ)และเขาก็อยู่ในวังวนของวัฏฏะสงสาร ได้รับพิษภัยที่เกิดจากความรักใคร่ ความปรารถนา แล้วก็แสวงหาความสุขจากความรักใคร่ ความปรารถนาอื่นฯมาทดแทนต่อไป และต่อไปไม่มีสิ้นสุด แต่..อาจจะมีบุคคลผู้ที่เกิดปัญญาจากการได้ไปบวช และเขาก็จะรู้จักพัฒนาความรักใคร่ปรารถนาให้สูงยิ่งฯขึ้นไปสู่ "ความรักเมตตาอารี" และพัฒนาให้สูงยิ่งขึ้นไปอีกสู่ "ความรักที่มีแต่ให้" อันยิ่งใหญ่ต่อไป
           2 บวชเฉพาะกาย จิตใจยังเป็นฆราวาส นักบวชระดับนี้ (รวมทั้งชี พราหมณ์ นักปฏิบัติธรรมอาชีพ) เป็นผู้ที่ยอมละสละจากเพศคฤหัสถ์ จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่วิถีชีวิตได้เปลี่ยนไปเพื่อการฝึกอบรมทางทางกาย วาจา และใจ โดยมีจุดมุ่งหมายคือ เพื่อห่างไกลจากความทุกข์แบบฆราวาส (มีความรัก ความชังเป็นต้น) อาศัยพระธรรมตำสอนของพระบรมศาสดาเป็นที่ตั้ง แต่เพราะความเหนียวแน่นของอำนาจกิเลส และบุญกุศล(ความเพียร)ที่เคยบำเพ็ญมาทั้งชาติปางก่อน และชาติปัจจุบันยังไม่เพียงพอ ทำให้ยังตกอยู่ในอำนาจของ"ความรักใคร่ความปรารถนา"แบบฆราวาส อาจจะมีความรัก ความปรารถนาในบุคคล หรือในวัตถุใดฯก็ตาม หัวใจเขาย่อมจะได้รับความทุกข์จากพิษภัยของการเกิดความรักระดับนี้ แต่..ชีวิตของเขาสามารถพัฒนาจิตวิญญาณให้สูงยิ่งฯขึ้นไปอีกได้ เมื่อเขากลับมาฝึกสำรวมกาย วาจา ใจ และปรารภความเพียรอย่างถูกต้อง ยิ่งฯขึ้นไปอีก
           3 ออกบวชทั้งทางกาย และทางใจ นักบวชระดับนี้ (หมายถึงพระภิกษุ สามเณร) ท่านได้เห็นโทษของ "ความรักใคร่ความปรารถนา" โทษของความรักระดับนี้อาจจะเกิดขึ้นในครั้งที่ท่านยังครองเพศฆราวาสอยู่ และพยายามหาทางออก จนได้มีโอกาศได้ฟังพระธรรมเทศนา พิจารณาถี่ถ้วนแล้วเห็นว่าการออกบวชประพฤติพรหมจรรย์นี้ เป็นหนทางสู่ความเป็นอิสระแห่งจิตวิญญาณ ในที่สุดท่านจึงละจากเพศฆราวาส สู่เพศบรรชิต มีพระธรรมวินัยเป็นที่ตั้ง ไม่ละความเพียรมีวิริยะอุตสาหะไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค สู่การเกิดสติปัญญา นำกายและจิตวิญญาณไปให้ถึงซึ่งจุดหมายปลายทาง.

           ข้าพเจ้าเชื่อว่า ชีวิตของนักบวชระดับที่สามนี้ ต้องพบกับอุปสรรคมากมายบนเส้นทางสายนี้ ยิ่งหากท่านประพฤติปฏิบัติอย่างถูกต้อง บุญบารมีสูงขึ้น อุปสรรคที่จะเกิดขึ้นจะมาในรูปลักษณะที่มีความงดงามยิ่งขึ้น ละเอียดลึกซึ้งยิ่งขึ้น เป็นที่ต้องการของผู้คนและนักบวชทั่วไป เช่น ความสรรเสริญที่หาประมาณไม่ได้ มียศตำแหน่งต่างฯ มีลาภสักการะมากมาย ห้อมล้อมด้วยบริวาร และบุคคลตระกูลต่างฯมากมาย ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งงดงามน่าปรารถนาทั้งสิ้น และการมีสิ่งต่างฯเหล่านี้เกิดขึ้นย่อมทำให้หัวใจ "เกิดความรัก ความปรารถนาที่ละเอียดยิ่งขึ้น"ท่านจะสามารถผ่านอุปสรรคความละเอียดอันงดงามเหล่านี้ได้หรือไม่ และเราท่านทั้งหลายจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านผ่านได้หรือไม่เพราะเป็น "ปัจจัตตัง"เป็นความรู้เฉพาะตน ผู้อื่นไม่สามารถรู้ได้ มีเพียงวิธีเดียว ที่จะทำให้เราท่านทั้งหลายสามารถล่วงรู้ได้ว่า ท่านสามารถผ่านอุปสรรคอันละเอียดเหล่านี้ได้หรือไม่คือ เราต้องบำเพ็ญบารมีประพฤติปฏิบัติอย่างถูกต้องเหมือนท่าน มีคุณธรรมชั้นสูงเหมือนท่าน ดั่งในคำภีร์กล่าวใว้ว่า "พระอรหันต์ ย่อมรู้วิสัยของพระอรหันต์" นั่นเอง.