"หลวงพี่บวชได้กี่พรรษาแล้วล่ะ!  การออกธุดงค์ท่องเที่ยว หากอยากจาริกไปที่ไหนฯก็ให้รีบฯไปนะ  เมื่อถึงจุดหนึ่งของชีวิตมันไม่อยากจะไปนะ มันอยากหยุด เหมือนกับผมในขณะนี้" เป็นคำพูดของหลวงตารูปหนึ่ง เมื่อเกือบยี่สิบปีที่ผ่านมา

                  ระลึกถึงคำพูดประโยคนั้นของหลวงตา แม้วันเวลาจะผ่านไปนานแล้วก็ตาม เมื่อคืนครุ่นคิดพิจารณากลับไปกลับมาถึงคำพูดประโยคนั้น "เอ! หรือว่าสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับหลวงตาครั้งนั้น บัดนี้ได้เกิดขึ้นกับเราแล้ว"  เคยได้ยินมาว่าหากปรารถนาสิ่งใดฯก็ตาม  ก็ให้สร้างความดี ซึ่งทางธรรมท่านเรียกว่าให้บำเพ็ญบารมี เมื่อบุญบารมีที่บำเพ็ญมาสมบูรณ์ดีแล้ว จึงจะสมหวังตามความปรารถนา  "เราเหรอ! ก็ไม่ได้ปรารถนาสิ่งใดฯนี่ จึงไม่จำเป็นว่าจะต้องดิ้นรนขวนขวาย เพื่อบำเพ็ญบารมีนั้นฯเพื่อตัวเอง  แต่ชีวิตที่ผ่านฯมากลับมีเหตุการณ์ต่างฯเกิดขึ้นให้เราต้องไปทำหน้าที่ต่างฯนั้น"

                  ใน "อัคคัญญสูตร"  เล่าถึงยุคแรกเริ่มการเกิดขึ้นของมนุษย์  และมีวิวัฒณาการต่างฯ ของสังคมประเพณี มีชนชั้น  มีระเบียบแบบแผนการปฏิบัติ เรื่อยมา ซึ่งทางโลกเรียกวิวัฒณาการทั้งหลายเหล่านั้น "ว่าโลกเจริญ"  แต่หากพิจารณาอย่างละเอียดทางธรรมก็จะรู้ได้ไม่ยากว่า "ความทะเยอทะยานอยากของมนุษย์มีมาก  มากเสียจนไม่รู้จักคำว่าพอต่างหาก"  อำนาจความอยากเป็นใหญ่ ลาภ ยศ สรรเสริญ จึงเป็นสิ่งปรารถนา สวมหัวโขนแล้วดิ้นรนขวนขวาย พยายามแสวงหา ตามความทะเยอทะยานอยากของตนเองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  เป็นความหมายใน "อัคคัญญสูตร" ให้เราได้ศึกษาค้นคว้า  หาสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมแก่ตนเองต่อไป

เจ้าภาพค่าเดินทางถึงร้อยเอ็ดกุฏิดอกแก้ว

                  ขอบคุณเจ้าภาพถวายค่ายานพาหนะ จนสามารถเดินทางถึงวัดอย่างปลอดภัย  ขอบคุณทุกฯเจ้าภาพที่สร้างกุฏิดอกแก้ว ให้เป็นที่สำหรับพำนักพักกาย  กับชีวิตที่ไม่ต้องมีหัวโขน  ไม่ต้องเป็นตัวละครใดฯ  เป็นเพียงธาตุที่เกิดขึ้นจากดิน น้ำ ลม ไฟ  แล้วสักวันก็จะกลับคืนสู่ธาตุเดิม.

 
 
บันทึกในไดอารี่