|
| นับย้อนหลังไปเมื่อสมัยเริ่มกแรก ข้าพเจ้าได้เข้าสู่เส้นทางสายบุญ ด้วยการไปฝึกปฏิบัติกรรมฐานอยู่วัดป่าแห่งหนึ่งทางภาคอีสาน เข้าสู่ฤดูทำนาเป็นช่วงที่ชาวนาในระแวกหมู่บ้านที่ข้าพเจ้าอาศัยอยู่ ปฏิบัติหน้าที่เป็นกระดูกสันหลังของชาติ (ศัพท์ที่คนรวย พ่อค้าทั้งหลายเขาเรียก) ต่างขมักขเม่นทำงานอยู่ในท้องนา บ้างก็ไถนาด้วยควาย บ้างก็กำลังถอนต้นกร้า ส่วนผู้ทำหน้าที่เป็นผู้ส่งเสบียงอาหารคือแม่บ้าน ตั้งแต่เช้าตรู่ยังไม่ทันสว่างดี จนถึงมืดค่ำของทุกฯวัน ชาวนาทั้งหลายใช้แรงกายที่มีอยู่ และเวลาทั้งหมดอยู่กับการปลูกข้าวบนผืนนา อันเป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ถึงเวลาค่ำหลังจากอาบน้ำชำระกาย อยู่กันพร้อมหน้ากันทุกคนในครอบครัวนั้น ก็เริ่มกินข้าวแลง (อาหารเย็น) อิ่มกันทุกคน เสร็จจากภาระกิจประจำวันแล้ว |
|
|
พูดคุยตามประสาลูกทุ่งชาวนาพอสมควร ก็พากันนอนพักผ่อนเพื่อเอาแรงเตรียมไว้ดำนา (ปลูกข้าว) ในวันรุ่งขึ้น. อีกครอบครัวหนึ่ง หลังจากกินข้าวแลงแล้ว บุพการีของข้าพเจ้าได้คุยกัน ถึงการได้เคยไปปฏิบัติธรรม กรรมฐาน กับคณะพระอาจารย์สายวัดป่าในครั้งที่ผ่านฯมา ด้วยความสนุกสนานในธรรมะอาการที่แปลกฯ ที่ได้เกิดขึ้นกับท่านทั้งสอง นี่เป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ข้าพเจ้าอยากไปปฏิบัติธรรมบ้าง บุพการีทั้งสองท่านได้นำเทปการเทศน์ของหลวงตามาเปิดให้ฟัง ถึงจะตั้งใจฟังหลายรอบแล้ว แต่ข้าพเจ้าก็ฟังไม่รู้เรื่องว่าท่านเทศน์ถึงเรื่องอะไร? ทั้งฯที่เป็นภาษาเดียวกัน นอนคิดพิจารณาอยู่ทั้งคืนจนฟ้าสางของวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจไปบอกกับบุพการีว่า "พ่อ พ่อ ข่อย (ผม) อยากไปปฏิบัติธรรม พ่อพาข่อยไปแหน่ (ด้วย)" เช้าวันนั้น แม่ของข้าพเจ้าดีใจมาก ช่วยเตรียมชุดสีขาว ที่ขาดไม่ได้คือไฟฉายใส่ในกระเป๋า ส่วนพ่อของข้าพเจ้าเป็นผู้นำ และพาข้าพเจ้าเข้าสู่วัดป่าช้าฯ ข้าพเจ้าคิด "ดีเหมือนกันจะได้ศึกษาและเรียนรู้ด้วยว่าพระที่ท่านบวชไปแล้วท่านทำอะไรบ้าง และใช้ชีวิตอย่างไร (ปกติรู้จักและเห็นพระเฉพาะตอนที่ท่านออกบิณฑบาตรเท่านั้น นอกนั้นไม่รู้เลย)" ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ข้าพเจ้าได้พบกับเหตุการณ์ และสิ่งแปลกฯ ที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าอีกหลายฯ เหตุการณ์ และหลายครั้ง ถึงแม้จะอธิบายเป็นตัวอักษรได้ยาก ข้าพเจ้าก็จะพยายามอธิบายตามกำลังสติปัญญาที่พอมี นั่นคือการเริ่มต้นการเดินทางเข้าสู่เส้นทางสายบุญ. |
|
|
| ถิ่นกำเนิด ดินแดนที่ราบสูง ถิ่นกันดาร เป็นคำที่ผู้คนทั่วไปมักเรียกกันสมัยเมื่อหลายสิบปีมาแล้วของภาคอีสาน การพัฒนาศักยภาพของชีวิตความเป็นอยู่ของชาวภาคอีสานในท้องถิ่นที่ข้าพเจ้าเคยเติบโตมา จากอดีตสู่ปัจจุบัน สิ่งที่เห็นเด่นชัดมากคือ แต่ก่อนเมื่อต้องการหาอาหารชาวบ้านทั้งหลายก็จะเตรียมอุปกรณ์คือ เสียม, เบ็ด, หนังสติ๊ก, พุ, และฯลฯ. มุ่งหน้าสู่ทุ่งนา, หรือตามราวป่า, เหล่าต่างฯ, แต่ปัจจุบันเขาเหล่านั้น อาศัยรถตลาดที่วิ่งขายอยู่ตามหมู่บ้านต่างฯ วันละหลายฯรอบ อีกทั้งบ้านเรือนที่อยู่อาศัย และพาหนะที่ใช้สัญจรไปมาก็แตกต่างจากสมัยก่อนอย่างสิ้นเชิง "คำตอบทั้งหลายดูได้จากภาพยนตร์ที่ได้นำมาลงให้ดูทั้งสองเรื่อง ลูกอีสาน และครูบ้านนอก" เมื่อกาลเวลาผ่านไปเรื่อยฯ หลายฯอย่างในชีวิต สิ่งที่เป็นวัตถุ ใช้ในการดำเนินชีวิต ก็แตกต่างจากเดิม และจะพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรมต่อไปเรื่อยฯ |
|
|
แต่ยังมีอยู่อย่างหนึ่งที่ยังเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นคนที่เกิดมาในตระกูลเศรษฐี, คนยากคนจน, บุคคลที่อยู่ในสังคมศิวิไลซ์และมักขนานนามเรียกกันว่า "ไฮโซ คนชั้นสูง"สิ่งนั้นคือเมื่อความทุกข์เกิดขึ้นก็พยายามดิ้นรนขวนขวายหวังเพื่อจะหลุดพ้นออกจากความทุกข์นั่นเอง โดยปกติธรรมชาติของมนุษย์มีสัญชาตญาณของการบำบัดความทุกข์ทางกายใด้อยู่แล้ว เมื่อหิวก็รู้จักแสวงหาอาหารมาบำบัด,เมื่ออากาศร้อนหรือหนาวก็รู้จักวิธีบำบัดให้ร่างกายอบอุ่น, เมื่อร่างกายเจ็บป่วยก็รู้จักวิธีหายามาบำบัดให้หายจากโรคนั้นฯ แต่สิ่งที่เหมือนกันและต่างกันนั้นก็คือ วิธีบำบัดรักษาโรคที่เกิดทางใจ คือพิษภัยอันเกิดจากการกำเริบของราคะ โทสะ โมหะ ผู้ที่มีปัญญาก็จะอาศัยพระธรรมคำสอนของพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่ตั้ง และปฏิบัติตามเข้าสู่การให้ทาน,การรักษาศีล,และเจริญภาวนา, แต่ยังมีบุคคลอยู่ไม่น้อยที่ยังหลงงมงายอยู่ในเดรัจฉานวิชา อันเป็นวิชาที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไม่ให้พระสงฆ์สาวกของพระองค์ปฏิบัติ นั่นเป็นเพราะการขาดสติปัญญา สติปัญญาในที่นี้หมายถึงสติปัญญาที่เกิดจากการศึกษาพระสัทธรรม การเจริญภาวนาด้วยสัมมาทิฏฐิ |
|
หรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งเขามีเฉพาะดวงตาเพียงข้างเดียวเห็นเฉพาะสิ่งต่างฯของทางโลกฯเท่านั้น ยังขาดดวงตาแห่งแสงธรรมอันจะทำให้เกิดปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริงตามที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนใว้ "อุปมาที่พึ่งในพุทธศาสนานี้เปรียบเสมือนต้นโพธิ์" ผู้คนทั่วไปต่างแสวงหาที่พึ่ง แน่นอนทุกชีวิตต้องการที่พึ่งอันเกษมที่ดีที่สุด บางคนก็เอากิ่งที่แห้งบ้าง,ใบที่ร่วงหล่นลงแล้วบ้าง,บางคนก็เอาเปลือกเอาสะเก็ดบ้าง,บางคนก็เอากาฝากที่อาศัยเกาะอยู่บนต้นโพธิ์บ้าง,เป็นที่พึ่ง เคยมีบุคคลจำนวนไม่น้อยที่ถามข้าพเจ้าว่า "จะทำอย่างไรจึงจะรู้ว่าสิ่งใดเป็นกิ่ง,เป็นใบ,เป็นกาฝาก" ก็ได้รับคำตอบเดิมฯที่ข้าพเจ้าพูดอยู่เสมอฯเมื่อมีคนถามคือ "จงมีสัมมาทิฏฐิในหัวใจ ศึกษาพระสัทธรรมอย่างถ่องแท้ และนำไปสู่การปฏิบัติเจริญภาวนาด้วยหัวใจที่เปี่ยมด้วยศรัทธาที่มั่นคงและความเพียรที่มั่นคง จนเกิดปัญญาญาณ ก็จะรู้และเข้าใจทั้งคำถามและคำตอบทั้งหมด" |
| |
|
บุญที่ทำกรรมที่ก่อ ชีวิตของผู้คนทั้งหลายจึงถูกกรรมลิขิต กรรมในที่นี้หมายถึงการกระทำของเราเอง ในภพชาติปัจจุบันและในภพชาติอดีตที่ผ่านมา บางคน "ประกอบธุรกิจการงานมองเห็นความสำเร็จอยู่เบื้องหน้า แต่เมื่อวันเวลามาถึงจริงฯกลับล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า" ก็มี แต่บางคน "ทำงานที่ดูแล้วเป็นงานพื้นฯไม่น่าจะเกิดความร่ำรวยได้ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปกลับพบกับความสำเร็จเจริญรุ่งเรืองยิ่งฯขึ้น" ก็มี ทุกชีวิตต่างมีความต้องการประสบความสำเร็จ |
|
|
ในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น เขาเหล่านั้นอาจจะคิดไม่ถึงว่า "บุญที่แท้จริงสามารถบันดาลทุกสิ่งทุกอย่างได้" เขาจึงมุ่งแต่ทำบุญฝ่ายโลกอย่างเดียว จึงขาดศรัทธาการสร้างบุญกุศลฝ่ายธรรม บางคนอาจจะเรียกได้ว่าบุญนำทาง แต่บางคนอาจจะเรียกตรงข้ามกัน. เส้นทางสายที่ข้าพเจ้าเดินทางอยู่ในปัจจุบันทำให้ได้พบเห็นชีวิตของผู้คนที่หลากหลาย ผู้ใดที่เป็นสัมมาทิฏฐิเมื่อได้รับคำแนะนำสามารถนำไปปฏิบัติด้วยความศรัทธาอันมั่นคงก็ได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า แต่บุคคลจำนวนไม่น้อย มีหัวใจศรัทธาในพระสัทธรรมน้อย หรือพลังแห่งศรัทธาไม่เพียงพอก็ไม่นำไปสู่การปฏิบัติ หรือไม่สามารถรักษาการปฏิบัติได้อย่างต่อเนื่องจนถึงจุดหมายปลายทาง ชีวิตของเขาก็ดำเนินไปตามยถากรรมของเขา แล้วชีวิตของข้าพเจ้าก็ดำเนินต่อไป ตอบแทนคุณค่าอันยิ่งใหญ่มหาศาลของพระพุทธเจ้า,พระธรรม,พระสงฆ์สาวกผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ, ตามโอกาส และตามกำลังสติปัญญาที่มีอยู่ต่อไป. |
|
|