---

วันที่ 27 สิงหาคม 2556   วัดป่าดงยาง 
           แล้วในที่สุด งานฌาปนกิจศพหลวงตาบุญร่วม ธมฺมคุตฺโต (เจ้าอาวาสวัดป่าดงยาง) ก็เสร็จสิ้นลง ท่ามกลางหมู่ญาติพี่น้อง และญาติธรรมจำนวนมาก นำโดยคณะสงฆ์อำเภอศรีสมเด็จทั้งหมด คุณธรรมและความดีสิ่งที่หลวงตาได้สร้างใว้ อยู่คู่วัดป่าดงยางคือ ตลอดสิบกว่าปี ที่รักษาป่าไม้ตั้งแต่สมัยเริ่มปลูก จนขณะนี้ต้นไม้เหล่านั้นโตขึ้นมาก ให้ความร่มเย็นแก่ผู้อาศัยทั้งมนุษย์และสัตว์ต่างฯ อีกทั้งเป็นสถานที่เกิดของอาหารมนุษย์คือ "เห็ดนาฯชนิด" ผู้คนทั้งหลายล้วนมีความแปลกใจด้วยกันทั้งสิ้นว่า ความแห้งแล้งกันดารของ ลาภสักการะ, บุคคลผู้เคารพศรัทธา, ข้าวปลาอาหาร, อยู่วัดป่าดงยางมีความแห้งแล้ง ความกันดารพร้อม เพราะเหตุใดหรือ.. หลวงตาจึงสามารถอยู่ได้อย่างตลอด
           อาตมาได้ยินคำพูดคำหนึ่งว่า "ชีวิตหนึ่งได้จบสิ้นลงแล้ว แต่.. อีกชีวิตหนึ่งกำลังเริ่มต้น" แล้วคำคำนั้นหมายถึงใครใช่เราหรือเปล่าหนอ! คงไม่ใช่หรอกเพราะเราต้องการบริหารใจเราเพียงคนเดียว ให้พบและอยู่กับความสงบตลอดไป

สิ่งที่มนุษย์หนีไม่พ้นคือความดับ ความตายของสังขารร่างกาย ธาตุดินน้ำลมไฟคืนสู่ธรรมชาติ สิ่งที่ควรคิดที่สุดคือ "จิตเราล่วงพ้นการเกิดหรือยัง"

ชีวิตที่ดับสูญจากโลกนี้ กับความดีที่เหลืออยู่คู่โลก

         ไฟที่กำลังลุกไหม้ร่างอันไร้วิญญาณของหลวงตาบุญร่วมบนเชิงตะกอน ที่ผู้คนทั่วไปกล่าวกันว่าร้อนหนักหนา สามารถแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างให้ไหม้เป็นจุณได้ เป็นที่ไม่น่าปรารถนาของผู้คนทั้งหลาย แต่.. ไฟที่กำลังลุกไหม้แผดเผาที่ยิ่งกว่า และผู้คนไม่ค่อยให้ความสำคัญคือ "ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ" เป็นอาวุธที่แหลมยิ่งกว่าปลายเข็ม คมยิ่งกว่ามีดโกน คอยทิ่มแทง และเชือดเฉือนหัวใจอยู่เป็นประจำ หรืออาจจะเป็นบางครั้งบางคราว คงอาจจะเป็นเพราะว่ามนุษย์ทั้งหลายเป็นทาสผู้ซื่อสัตย์และรับใช้"กิเลส"มายาวนาน เมื่อโดนอาวุธที่แหลมคมทิ่มแทงแล้วหาทางออกไม่เจอเพราะไฟโมหะครอบงำ ทำให้นึกถึงบทสวดมนต์ท่อนหนึ่งว่า "ในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย, ผู้ที่ถึงฝั่งแห่งพระนิพพานมีน้อยนัก, หมู่มนุษย์นอกนั้น,

ย่อมวิ่งเลาะอยู่ตามฝั่งในนี่เอง" ยกเว้นผู้ที่เห็นทุกข์ชัดฯ และเกิดพลังศรัทธาที่จะลงมือปฏิบัติ นำพาจิตใจตนเองให้ก้าวพ้นออกจากความทุกข์จริงฯ เขาย่อมแสวงหาความเป็นสัปปายะทั้งปวง ปูทางสู่การเกิดสติปัญญา แสงสว่างแห่งชีวิต และความเป็นอมตะชั่วนิจนิรันดร์.

อาพาธ และก่อนมรณะภาพ