|
ก้าวแรกที่ตั้งใจมาอาศัยอยู่จำพรรษาที่วัดป่าดงยางแห่งนี้ ขณะนั้นดึกมากแล้วเวลาประมาณหลังเที่ยงคืน ของวันที่1เดือนกรกฎาคม2556 เมื่อหาที่นอนที่เหมาะดีแล้วจึงพัก หลังจากเหนื่อยกับการเดินทางมาตลอดทั้งวัน ฟ้าเริ่มสางของเช้าวันใหม่จึงพบกับสภาพความแห้งแล้งของป่า "เห็นพระคุณของต้นไม้หลายๆต้นที่รวมกันเป็นป่าให้เป็นที่พักหลับนอนกับเรา หัวใจดวงนี้ตั้งใจจะทำหน้าที่ มีความกตัญญูกตเวทิตาตอบแทนต้นไม้ผู้มีพระคุณ" เมื่อได้เวลาจึงเดินออกจากป่าบิณฑบาตร หลังฉันอาหาร ล้างบาตรคว่ำบาตร ตากจีวรเสร็จแล้ว ออกเดินทางจุดหมายปลายทางคือวัดป่าศรีมงคล(โคกร้าง) ซึ่งเป็นวัดที่หลวงปู่อุทัยท่านอยู่จำพรรษา และวัดป่าดงยางแห่งนี้ก็เป็นวัดที่ท่านเป็นผู้ริเริ่มสร้างภายใต้ชื่อว่า "โครงการปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ์" |
หลวงปู่อุทัยท่านบอกว่า วัดป่าดงยางมีพื้นที่300ไร่ มีต้นไม้ทั้งดั้งเดิมที่เกิดโดยธรรมชาติและเกิดจากโครงการปลูกป่าเป็นจำนวนมาก อย่าตัดอย่าทำลายให้ช่วยกันดูแลรักษาปลูกเพิ่มเติม ใช้ประโยชน์ของป่าร่วมกัน หลังจากนั้นต่อมาอีก2ปีหลวงปู่อุทัยท่านก็มรณะภาพ แต่คำสั่งคำสอนที่ท่านเคยบอกอาตมาไว้ไม่ได้ตายไป ยังคงอยู่ในความทรงจำจนถึงปัจจุบันขณะนี้ |
ช่วงระหว่าง5ปีแรก มีพ่อค้าไม้ทั้งในอำเภอนอกอำเภอและต่างจังหวัดพยายามที่จะซื้อเฉพาะไม้ยูคา จำนวนเงินที่เสนอมาไม่ต่ำกว่า5แสนบาท เมื่อได้ฟังเหตุผลของการไม่ขาย (ต้นไม้หลายๆต้นรวมกันจึงเป็นป่า อาตมามาอาศัยป่าเป็นที่อยู่ทางกาย หากไม่มีป่าก็จะไม่มา ต้นไม้ทุกต้นคือผู้มีพระคุณ จะทรยศโดยการเบียดเบียนได้อย่างไร มีแต่จะรักษาดูแลไม่ไห้ท่านถูกเบียดเบียนต่างหาก) พ่อค้าทั้งหลายก็ทยอยพากันกลับไป แม้พ่อค้าเหล่านั้นจะพยายามมาตื้อเพื่อขอซื้ออีกอยู่หลายๆครั้ง เมื่อได้ฟังเหตุผลเดิมๆ เขาก็ผิดหวังกลับไปเช่นเดิม ผู้มีพระคุณ(ต้นไม้)มีชีวิตเติบโตตามอัตภาพ ชาวบ้านในละแวกได้รับประโยชน์ เช่นหาฟืนหาเห็ดหาไข่มดแดงหาผึ้งเก็บผักเลี้ยงวัวเอาลูกหมาลูกแมวมาปล่อยบนผืนป่าแห่งนี้ตามวิถีชนบทชาวอีสาน |
|
|
ขณะเดียวกัน วันเวลาที่ผ่านไปๆต้นไม้ที่เติบโตนั้น ต้นใดที่มีภูมิต้านทานน้อยก็พ่ายแพ้ความแห้งแล้งบ้าง,ปลวกบ้าง,โจรขโมยตัดบ้าง, ที่สำคัญมีอยู่หลายครั้งมาในรูปแบบถือจานดอกไม้มาขอบูชาต้นไม้ที่เป็นๆบ้าง ที่ตายยืนบ้าง ด้วยเหตุผลตามที่กิเลสนึกได้ ทำให้เกิดความรู้สึก "เหมือนถูกบังคับให้สึก" และผู้ที่มานั้นก็มิใช่เฉพาะฆราวาส บางครั้งก็เป็นเพศนักบวช |
คำว่า "เหมือนถูกบังคับให้สึก" หากอยากจะรู้ความรู้สึกของอาตมา ให้ไปถามคนที่ไม่อยากบวชเป็นพระ แล้วถูกบังคับให้บวชตลอดชีวิต และมาอยู่ป่าแบบอาตมานี่ เขาจะมีความรู้สึกอย่างไร !โอ้หนอ กิเลสความอยากได้อยากดีอยากมีอยากเป็น ไม่ปราณีใครเลยจริงๆ |
|